Kernicterus หมายถึงพยาธิสภาพของสมองที่เกิดจากบิลิรูบิน (สารสีเหลืองในเลือด)
จับที่เนื้อสมองและมีการตายของเซลล์สมอง ปัจจุบันนิยมเรียกว่า bilirubin encephalopathy
ซึ่งมีความหมายกว้างกว่ากล่าวคือ หมายถึงอาการทางคลินิกที่เกิดจากเซลล์สมองได้รับ
อันตรายจากบิลิรูบิน อาการที่พบมีตั้งแต่อาการเริ่มแรกที่ไม่รุนแรงและหายเป็นปรกติได้คือ
อาการซึม การเปลี่ยนแปลงของความตึงของกล้ามเนื้อจนถึงอาการที่รุนแรงที่สุดที่พบใน
วัยทารกแรกเกิดคือ เกร็งหลังแอ่น (opisthotonos) ชัก และตาย หรือปรากฏความพิการถาวร
ในภายหลังคือความพิการทางสมอง อาการแสดงแบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 อาการซึม ดูดนมไม่ดี ร้องเสียงแหลม (high-pitched cry) ความตึงของ
กล้ามเนื้อลดลงไม่มีการผวา (Moro reflex) ระยะที่ 2 มีไข้ ความตึงของกล้ามเนื้อเหยียด (extensor muscles) เพิ่ม ทำให้ทารก
มีอาการแข็งเกร็ง (rigidity) เกร็งหลังแอ่น (opisthotonos) ในรายที่มีอาการรุนแรงทารก
จะชักโดยมีแขนขาเหยียด แขนบิดเข้าด้านใน และมือกำแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยว ระยะที่ 3 ความตึงของกล้ามเนื้อลดลงภายหลัง 1 สัปดาห์ ทารกที่มีอาการสมองชัดเจนมีอัตราตายร้อยละ 75 ร้อยละ 80 ของทารกที่รอดชีวิต
มีความพิการทางสมองชนิด choreoathetosis มีแขนและขาเกร็ง (spastic quadriplegia)
ปัญญาอ่อน หูหนวกความพิการทางสมองที่เกิดจากภาวะตัวเหลืองเป็นภาวะที่ควรป้องกันได้
แต่ก็ยังพบภาวะนี้ได้บ่อยในประเทศไทย ภาวะนี้พบได้ทั้งทารกที่คลอดในโรงพยาบาลของรัฐ
และของเอกชน ทารกที่คลอดในโรงพยาบาลตามภูมิภาค (ผู้เขียนได้ไปบรรยายที่โรงพยาบาล
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและได้ทราบจากกุมารแพทย์ว่าพบภาวะนี้เป็นประจำ) และ
โรงพยาบาลที่อยู่ในเขตกรุงเทพ ฯ สาเหตุเกิดจากปัจจัยหลายอย่างดังนี้ 1. ภายหลังคลอดมารดาและทารกพักอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 24-48 ชั่วโมง 2. ทารกได้รับการดูแลโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ขาดประสบการและขาดความรู้ ทำให้ไม่สามารถตรวจพบว่าทารกเหลืองผิดปรกติและปล่อยให้กลับบ้านจึงไม่มี การนัดให้มาติดตาม และให้คำแนะนำที่ผิดแก่มารดาว่าภาวะเหลืองดีขึ้นได้โดยให้ ทารกดูดน้ำมาก ๆ และนำทารกไปอาบแดดตอนเช้า 3. มารดาและบิดาไม่ทราบว่าดูทารกเหลืองอย่างไร และหากรู้ว่าทารกเหลือง ควรพา ทารกมาพบกุมารแพทย์เมื่อใด 4. เครื่องส่องไฟสำหรับรักษาภาวะตัวเหลืองไม่ได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพ และประสิทธิภาพการทำงาน เพราะโรงพยาบาลแต่ละแห่งมักผลิตขึ้นมาใช้เอง 5. ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ทั่วประเทศไม่มีเครื่องตรวจ ระดับสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) ในเลือด เนื่องจากมีราคาแพงถึงแสนบาทเศษต่อเครื่อง
การรีดผิวหนังให้ซีด |
การป้องกัน บุคลากรทางการแพทย์และบิดามารดาต้องช่วยกันป้องกันภาวะนี้เพื่อให้ทารกที่เป็นของ มีค่าของครอบครัว และเป็นทรัพยากรที่มีค่าของชาติหากเติบโตอย่างมีสุขภาพดี โดยทราบวิธีตรวจ (detect) ทารกว่าเหลืองหรือไม่ โดยบุคลการต้องเรียนรู้วิธีตรวจ ภาวะเหลือง และสอนคุณแม่คุณพ่อ ให้รู้วิธีตรวจ ก่อนให้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาล ต้องแน่ใจว่า ทารกไม่มีภาวะเหลืองเกิน (hyperbilirubinemia) และระดับบิลิรูบินในเลือดผ่านพ้นระดับสูงสุด (peak) แล้ว ซึ่งหมายถึงว่า ทารกได้รับการหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อย 2 ครั้งก่อนกลับบ้าน
ตาขาวเหลือง |
การตรวจว่าทารกเหลืองหรือไม่นั้น สามารถดูที่ผิวหนังของทารก เนื่องจากทารกแรกเกิดมี ผิวหนังแดงผู้ที่ขาดความชำนาญอาจใช้วิธีรีดผิวหนังที่หน้าผากหรือลำตัวให้ซีดโดยวางนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้ที่ชิดกันบนผิวหนัง กดเบา ๆ พร้อมกับแยกนิ้วออกขณะที่ยังคงแรงกดไว้บนผิวหนังเพื่อกด หลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนัง (blanching) เปรียบเทียบสีผิวหนังของทารกกับสีผิวหนังที่ฝ่ามือของ ผู้ตรวจว่าเหลืองชัดเจนแค่ไหน หรือมองดูที่ตาขาวของทารกเวลาลืมตาว่าเหลืองหรือไม่ เหลืองมาก น้อยแค่ไหน การดูความเข้มของสีเหลืองที่ผิวหนัง ผู้มีประสบการณ์จะสามารถประเมินระดับความเข้ม ของบิลิรูบินในเลือดหรือทารกว่ามีเหลืองผิดปรกติหรือไม่ ความเข้มของสีเหลืองที่ผิวหนังหรือตาขาว สัมพันธ์กับระดับบิลิรูบินในเลือด ฉะนั้น หากก่อนกลับบ้าน บุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้บอกมารดา หรือบิดาว่าทารกเหลือง เมื่อพบว่าทารกเหลือง ขอให้มารดาหรือบิดาพาไปพบกุมารแพทย์โดยด่วน หรือก่อนกลับบ้าน ทราบว่าทารกเหลือง หลังกลับบ้าน ทารกเหลืองมากขึ้น ต้องรีบพาไปพบกุมาร แพทย์โดยด่วนเช่นกัน หากพลาดจากขั้นนี้ สามารถสังเกตจากอาการทางสมองที่เกิดจากบิลิรูบินเข้าไปอยู่ในเซลล์ สมองและทำให้สมองทำงานผิดปรกติดังที่ได้กล่าวในเบื้องต้น หากตรวจพบความผิดปรกติในระยะ เริ่มแรก และได้รับการถ่ายเปลี่ยนเลือดทันที อาจป้องกันความพิการทางสมองได้